คุยชิลๆกับพี่ชิว ทำงานที่ Netflix เป็นยังไงบ้าง

วันก่อนแอดได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ชิว อัพเดทกันเรื่องชีวิต การทำงาน ก็เลยขอสัมภาษณ์มาเขียนเป็นบทความให้ทุกคนได้อ่านเลยละกัน (ขอบคุณคร้าบพี่ชิว) 555+

แอดเจอพี่ชิว Pipat Srimattayakul ครั้งแรกสมัยทำงานที่ดีแทคช่วงปี 2016-2020 แต่ทำงานด้วยกันไม่นาน พี่ชิวออกไปก่อน 555+ (ไปได้ดิบได้ดี) ย้ายจากดีแทคไปอยู่ Netflix บินไปทำงานที่สิงคโปร์

ตอนนี้พี่ชิวกลับมาอยู่ไทย (น่าจะถาวรแล้ว หรือเปล่าครับพี่ 555+) และก็เริ่มงานใหม่ที่ True Digital ในตำแหน่ง Head of Strategy and Partnership ดูแล TrueID

มาลองอ่านบนสัมภาษณ์พี่ชิวได้ในบทความนี้เลยครับ มีเรื่อง culture, way of work, communication, benefits ต่างๆ ครบทุกประเด็น เริ่ม!

Table of Contents

Meet P’Chyu

พี่ชิวเรียนจบด้าน Engineering แล้วก็ต่อโทด้าน Marketing (MIM) ทำงานในแวดวงการตลาดมาหลายที่เลย เช่น diageo, dtac แล้วก็ไปเริ่มงานที่ Netflix เดือน มี.ค. 2020 ในตำแหน่ง Head of Partner Marketing ดูตลาดไทยและฟิลิปปินส์

working at Netflix
พี่ชิวกับโกโกวา เด๊วว 555+

ตอนไปเริ่มงานคือ COVID hits ทั่วโลกพอดี พี่ชิว relocate ไปอยู่ที่สิงคโปร์ ตอนนั้น Thai Office ยังไม่เปิด ก็บินไปๆมาๆ ทำงานที่ Netflix 2 ปี 4 เดือน ช่วงท้ายๆพี่ชิวได้ดูทั้งตลาด Southeast Asia เลยด้วย (ทำคนเดียว ไม่มีทีมงาน เด๊ววว 555+)

The Work

ตำแหน่งพี่ชิวทำงานใกล้ชิดกับทีม Film & Series Marketing , MarCom + Social โดยทีมพี่ชิว (ซึ่งทำคนเดียว 555+) มีโจทย์ที่ต้องทำสองอย่างหลักๆคือ

  • Acquisition หาลูกค้าใหม่มาสมัครใช้ Netflix
  • Conversation กระตุ้นการพูดถึงแบรนด์ Netflix

ตัวอย่างโปรเจ็คที่พี่ชิวทำ เช่น งานโปรโมท Kingdom Special Series + Fire Tiger เราคิด co-campaign ร่วมกับพาร์ทเนอร์ของเราเพื่อโปรโมทภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ใหม่ๆ

Kingdom Series - Ashin of The North
Kingdom Series – Ashin of The North

พี่ชิวแชร์ว่าในซีรี่ส์ Kingdom ภาคพิเศษมีเสือซอมบี้ (ไม่ได้ spoil นะคร้าบ 555+) ก็เลยคิดว่า Fire Tiger คือพาร์ทเนอร์ที่น่าจะส่งเสริมกันและกันได้ดีเลย สุดท้ายคือ win-win

How Do You Feel?

🤓 ทอย: เครียดมั้ยครับพี่ชิว ทำงานกับบริษัทระดับโลกอย่าง Netflix?

🤖 พี่ชิว: เครียดดิ! แต่อีกใจนึงก็ตื่นเต้นด้วย และก็หวั่นเล็กน้อย

ตอน recruiter ติดต่อมา เค้าให้อ่านบทความ culture ต่างๆของ Netflix และให้เราถามตัวเองเลยว่า เราจะเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของ Netflix ได้ไหม?

ถ้าคิดว่าไม่ fit in อย่ามา (เพราะถ้ามาคือหาความสุขไม่เจอแน่นอน แหะๆ)

Netflix Culture – Seeking Excellence ไม่ใช่แค่เรื่องที่พูดกันลอยๆแต่ทำกันจริงๆ Netflix ไม่ได้อยู่กันแบบครอบครัว แต่อยู่กันเป็นทีม เป็นเพื่อนร่วมงาน performance เป็นตัวกำหนดว่าเราจะได้ไปต่อหรือเปล่า

ตอนทำงานจริง พี่ชิวก็แอบมีเรื่องหนึ่งที่กวนใจนิดๆ ถามตัวเองตลอดว่า “วันนี้เราทำงานได้ดีที่สุดหรือยัง?” ถ้าเราทำได้ไม่ดีแล้วเราจะโดนเชิญออกมั้ย คือต้องจิตแข็งระดับหนึ่งเลย

Culture

แอดพูดคุยเรื่อง Netflix Culture กับพี่ชิวหลายเรื่องมาก สรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้

  • We are not family but working team (like sport teams)
  • Highly aligned, loosely coupled ทุกคนเข้าใจและ aligned เรื่องโปรเจ็ค มีการ sync กันตลอดเวลา แต่จะไม่มาจี้ตามงานกัน ค่อนข้างมีอิสระในการทำงาน
  • Memo – writing things down
  • Avoid rules (จริงๆพี่ชิวบอกว่าหลังๆก็เริ่มมี rules นิดหน่อย เพราะบริษัทโตขึ้นมาก พนักงานทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน)
  • Informed captain พนักงานมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีขั้นตอนการ approve อะไรเยอะเหมือนบริษัททั่วไป

พี่ชิวแชร์ว่าตอนที่บริษัทมีพนักงานเกิน 10,000 คน ใน Townhall ของบริษัท ผู้บริหารก็บอกว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังจะมา พอคนเริ่มเยอะ องค์กรอาจจะต้องเริ่มสร้าง processes หรือ rules บางอย่างเพื่อจัดการการทำงาน แต่ยัง empowering พนักงานทุกคนเหมือนเดิม

ยิ่งองค์กรใหญ่ขึ้น culture ก็ต้อง evolve

💛 พี่ชิวแนะนำ WeAreNetflix Podcast ถ้าใครอยากฟังเรื่องการทำงานที่ Netflix และ knowledge sharing ต่างๆ ลองดูได้นะครับ

Communication

Netflix จะใช้การสื่อสารแบบ one-on-one เป็นหลัก และเขียน memo/ document (text-based) เยอะมากๆ อันนี้เหมือนกับ amazon เลย ไม่ต้องทำ PowerPoint ให้เสียเวลา

  • One on one meeting – max 30 นาที
  • Slack (integrated with Google Workspace) ที่ Netflix ใช้ Slack เป็นหลักเพราะว่าแชร์เอกสารต่างๆได้ง่าย ค้นหาได้สะดวก
  • WhatsApp มีใช้บ้าง อันนี้จะ casual หน่อย
  • Memo/ Google Docs

พี่ชิวบอกว่า memo ที่ Netflix น่าจะมีเป็นแสนเลยมั้ง 555+ ทุกคนคือเขียนเยอะจัด นักเขียนตัวจริงเพราะ clear writing = good thinking

Memo มีรูปค่อนข้างน้อย จะเน้น text-based เป็นหลัก สามารถค้นหาได้แบบ company-wide เรียนรู้จาก documents ของเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ได้

Benefits & Performance

คั้นประสิทธิภาพพนักงานให้สุด! ขอบคุณรูปภาพจาก Unsplash

พี่ชิวแชร์ว่าเงินเดือนและสวัสดิการของ Netflix คือระดับต้นๆของวงการ คือจ่ายดีจริง very generous แต่ช่วงหลังๆบริษัท big techs อื่นๆก็เริ่มจ่ายดีไม่แพ้กัน ตลาดแรงงานแข่งขันสูง

ตัวอย่าง benefits ที่ Netflix ให้กับพนักงาน

  • เงินเดือน very competitive!
  • ประกันสุขภาพให้กับเราและครอบครัว (ภรรยา ลูก ดูแลหมด ไม่ต้องจ่ายเพิ่มซักบาท)
  • ฟรีอาหารเช้าและกลางวันที่ office
  • อยู่ดึกมีรถ Grab ส่งถึงบ้านฟรี
  • วันลา วันหยุดไม่อั้น ถ้างานเสร็จ 555+ และทำงานแบบ flexible hours

พี่ชิวบอกว่า flexible hours คือตลอดทั้งวันทั้งคืนเลย จะลางานก็วางแผนล่วงหน้า เรามีหน้าที่ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดในการทำงาน อารมณ์แบบ always at our peak

เงินเดือนสวัสดิการดี แต่อย่าลืมว่า Netflix ก็ต้องการรีดประสิทธิภาพจากเราให้ออกมามากที่สุด แอดฟังพี่ชิวเล่าแล้วภาพคั้นน้ำส้ม แบบคั้นจนน้ำหมด ภาพลอยมาเลย 555+

The Most Difficult Thing

สิ่งที่พี่ชิวบอกว่ายากที่สุดตอนทำงาน Netflix คือการ manage ตัวเอง หรือ self-management และการจัดการกับ imposter syndrome (i.e. ความรู้สึกว่าเราไม่เก่งพอ)

Netflix คือองค์กรแบบที่เรียกว่า high talent density บริษัททั่วๆไปอาจจะมีคนเก่งๆหรือ talents ประมาณ 10-20% แต่ที่ Netflix พี่ชิวบอกว่าไม่ต่ำกว่า 90-95%!

ถ้าเราทำงานได้ไม่ดีพอ สามารถโดนเชิญออกได้ตลาดเวลา ประมาณว่ารับเงิน package แล้วเชิญออกจากบริษัทได้เลย

อันนี้คืออีกเหตุผลที่การทำงานที่ Netflix อาจจะมีความเครียดไม่น้อย พี่ชิวบอกว่าพี่เค้าอยู่ในโหมดรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอประมาณ 9 เดือนเลย กว่าที่จะเริ่มมั่นใจและกล้า debate กับเพื่อนในบริษัท ได้รับการยอมรับจากทีมและหัวหน้า (แต่องค์กรที่ Netflix คือ flat มากๆ)

Big Tech Companies

สำหรับโอกาสการเข้าทำงานบริษัทเทคใหญ่ๆ พี่ชิวแชร์ว่าเราพัฒนาตัวเองแบบ generalist ดีกว่า อารมณ์แบบทำงานหลายๆองค์กร ทำงานที่หลากหลาย มองหาประสบการณ์ใหม่ๆ

เอาตัวเองไปลองอะไรใหม่ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด การเปลี่ยนงานบ่อยไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป ถ้าเราได้ expand horizon ได้พัฒนาหลาย skills เฉียบ!

“ทำงานต่ออีก 2 ปีที่บริษัทเดิม กับย้ายไปทำงาน 2 ปีที่บริษัทใหม่ สำหรับพี่ ไปทำงานที่ใหม่ได้เรียนรู้อะไรมากกว่าอยู่ที่เดิมเยอะเลย”

Google Meet กับพี่ชิว ขอบคุณมากๆครับ

Steve Jobs เคยพูดเรื่อง “You can only connect the dots looking backwards” อันนี้คือ quote ที่พี่ชิวเชื่อมั่น เราต้องกล้า challenge ตัวเอง

ว่าเราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ได้หรือเปล่า?

Why Left Netflix?

พี่ชิวแชร์ว่าอยากสร้างและบริหารทีมของตัวเองบ้าง และอยากทำโปรเจ็คในระดับ local ให้ประสบความสำเร็จ ยกระดับองค์กรไทยให้เติบโตไปไกลระดับโลก

และ True Digital ก็เป็นองค์กรที่มีความพร้อม และเป็น key local players มีศักยภาพที่สามารถเติบโตไปในระดับโลกได้ พี่ชิวเลยรับโอกาสนี้และย้ายจาก Netflix กลับมาไทย (พาครอบครัวย้ายกลับมาที่ไทยด้วย)

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนนะครับ

PS. ตอนนี้พี่ชิวบอกว่าตามหาทีมมาช่วยงานที่ True Digital ด้วย ใครสนใจด้าน Strategy สามารถ connect กับพี่ชิวได้บน LinkedIn เลยนะครับ 😁

Leave a Reply