วันเสาร์ที่ผ่านมา แอดเพิ่งจัดงาน Duck Con 2024
เป็น free event ที่ใหญ่สุดตั้งแต่เราเปิดเพจ DataRockie มา นั่งฟังจุกๆ 5 ชั่วโมงเต็ม ผู้ร่วมงานมากกว่า 300 คน
แอดขึ้นพูดเป็นคนสุดท้ายกับหัวข้อ Suddenly Talented ปุบปับเก่งเลย เป็นไอเดียที่ได้มาจากหนังสือชื่อเดียวกันกับทอล์คนี้เขียนโดยคุณ Sean D’Souza
Thesis ของหนังสือเล่มนี้คือการตั้งคำถามว่าจริงๆแล้ว talent
คืออะไร?
Talent คือความสามารถที่มีมาแต่กำเนิด “inborn” หรือจริงๆแล้วเราสามารถฝึกฝนเพื่อ “acquire” ทักษะนี้ได้
ถ้า talent เป็นเรื่องที่เราพัฒนาได้จริง คำถามที่แอดอยากรู้คือต้องฝึกนานเท่าไหร่ ต้องเรียนถึง 10,000 ชั่วโมงเหมือนที่ conventional wisdom บอกไว้เลยไหม?
บทความนี้แอดเขียนสรุปทอล์คนี้มาให้อ่านกันแล้ว อ่านจบเก่งเลย การันตี ✌️
Who is Sean D’Souza?
สิบปีที่แล้ว วันธรรมดาทั่วๆไป แอดกดเข้าไปส่องเว็บ Amazon บังเอิญเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อปกน่าสนใจดี “The Brain Audit“
ช่วงนั้นแอดกำลังอินเรื่อง marketing พอดี ลงเรียน ป.โท การตลาดที่มหิดล (CMMU) อยู่ด้วย เลยกดซื้อมาอ่าน สนุกเฉย 555+
ถ้าใครเคย binge-watch netflix แอดก็ binge-read เล่มนี้เหมือนกัน 555+
แค่หนังสือเล่มเดียวก็เปลี่ยนชุดความคิดของเราได้เลย เหมือนเราดาวน์โหลดประสบการณ์ทั้งชีวิตของผู้เขียนเข้ามาในสมองของเรา
✌️ ตั้งแต่วันนั้นแอดเชื่อเลยว่าแค่หนังสือดีๆสักเล่มก็เปลี่ยนชีวิตเราได้ แต่เราต้องเลือกอ่านให้ถูกเล่มด้วยนะ 555+
The Brain Audit เขียนโดย Sean D’Souza นักวาดการ์ตูนชาวอินเดียที่ย้ายประเทศมาอยู่ที่นิวซีแลนด์ แล้วเริ่มทำ marketing agency ของตัวเอง
อ่านจบ เปิดโลกการตลาดเลย เป็นหนังสือที่แอดไม่ค่อยได้บอกใครเท่าไหร่ แต่เขียนแนะนำทุกคนในบทความนี้ exclusive สำหรับผู้อ่าน เย้
ความรู้ทุกอย่างที่แอดเอามาใช้ในงาน การทำเพจ และการทำ One-Person Business ได้รับอิทธิพลมาจากหนังสือเล่มนี้เต็มๆ
แอดก็เลยติดตาม Sean มาตลอด กดซื้อหนังสือเค้ามาอ่านเรื่อยๆ เล่มล่าสุดคือ Suddenly Talented
แค่เห็นปก ก็เสียเงินทันที ยั๊งงง 555+
Suddenly Talented
ถ้าคนที่ไม่เคยฝึกวาดรูปมาก่อนเลย จะสามารถวาดปลาวาฬได้ใน 5 นาทีหรือเปล่า?
Sean ทำการทดลองที่เรียกว่า “Five minute whale excercise” สอนคนที่เค้าเจอบนเครื่องบิน ร้านกาแฟ ตามสวนสาธารณะให้วาดปลาวาฬเป็นภายในห้านาที
ผลปรากฏว่า 100% วาดปลาวาฬออกมาได้หมด หน้าตาดูดีด้วย ถึงแม้จะไม่เคยเรียนวาดรูปมาก่อน หรืออาจจะเคยเรียน แต่ลืมการวาดรูปไปแล้ว
Sean ตั้งคำถามว่านี่คือ talent หรือเปล่า? ไม่ใช่ นี่ยังไม่ใช่ talent
แต่ moment ที่คนๆนั้นวาดรูปปลาวาฬได้ออกมาใกล้เคียงกับ Sean ที่ฝึกวาดรูปมาแล้วเป็นสิบๆปีได้ Sean เรียก moment นั้นว่า Doable Greatness
Doable Greatness คือจังหวะที่คนอื่นคิดว่าเราเป็นมืออาชีพ ทั้งๆที่เราแค่เพิ่งเริ่ม หรือไม่ได้เก่งมาก 555+ อาจจะฟังดูแปลก แต่นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยๆเลย
📝 Talent (n.) แปลไทยตรงๆว่าพรสวรรค์ หรือความสามารถพิเศษ
และนี่คือสิ่งที่ Sean อยากจะเล่าในหนังสือ Suddenly Talented การก้าวข้ามผ่านการเป็นแค่ค่าเฉลี่ย ให้ดีกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่จำเป็นเก่งที่สุดก็ได้ (คล้ายๆ Generalist)
I’m NOT a talent
ตอนสมัยทำงานเป็น Research Manager ที่ดีแทคปี 2016-2020
แต่ละทีมจะต้องเสนอชื่อพนักงานขึ้นไปเป็น talent ของบริษัท เจ้านายเสนอชื่อแอดทั้งๆที่แอดคิดว่าตัวเองไม่ได้เก่งกว่าเพื่อนๆคนอื่นเท่าไหร่
ส่วนตัวคิดว่ามีเพื่อนๆที่เก่งกว่าแอดหลายคนด้วย มีเพื่อนที่ทำ data มาก่อนแอดหลายปี เขียน code ทำโมเดลได้แบบโหดๆ (สมัยดีแทค เราใช้ SAS เป็นหลัก)
Talent เป็นคำที่คนเข้าใจผิดกันเยอะมาก ชื่อเราถูกเลือกเพราะมีการเปรียบเทียบทักษะของเรากับคนอื่นๆ ทั้งๆที่ความแตกต่างนั้นอาจจะ “น้อยมาก”
หรือถ้ามองอีกมุมหนึ่ง talent คือ perception
ที่คนอื่นๆมองมาที่เรา ทุกอย่างในโลกจริงๆเป็น perception หมดเลย ทำไมบางคนถึงชอบกิน Coke มากกว่า Pepsi?
เพราะ perception ใช่ไหม 555+ เรื่อง talent ก็เช่นเดียวกัน 🤫
ถ้ายึดความหมายตามพจนานุกรม ทักษะแอดตอนนั้นห่างไกลจากคำว่า talent มาก แต่เรายังหาคำที่ใช้เรียกตัวเองไม่ได้
✅ Side-Note ปี 2019 เป็นช่วงที่แอดเริ่มศึกษา Generalism
แต่ถ้าวาร์ปมาปัจจุบันที่แอดกำลังเขียนบทความนี้อยู่ คำที่แอดจะใช้เรียกตัวเองมันชัดมากเลย Doable Greatness หรือ Generalist คือนิยามความเป็นเราแบบตรงปก
ถ้าเราเป็นคนที่มีทักษะสูงกว่าค่าเฉลี่ยนิดหน่อย ทำได้หลายทักษะ แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนรอบข้างมองเราเป็น talent แล้ว
Skill stacking (n.) คือการผสมผสานหลายๆทักษะมาใช้ทำงานให้สำเร็จ
Sean นำเสนอ skill spectrum แบบเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่ no skill หรือ hopeless < average < doable greatness < genius (mastery หรือ talent)
ถ้าเราเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการเป็น Doable Greatness หรือ Generalist ชีวิตเราไม่จำเป็นต้องไปให้ถึงระดับ Genius ก็สามารถประสบความสำเร็จได้
การจะวิ่งไปให้ถึงด้านขวาสุดของ spectrum ต้องใช้เวลาฝึกฝนเยอะมาก มีเพียงไม่กี่คนในโลกที่จำเป็นหรืออยากจะไปถึง Genius Level
หนึ่งในนั้นคือ Kipchoge
Eliud Kipchoge นักวิ่งมาราธอนชาว Kenya เจ้าของสถิติโลก 2:01:09 ชั่วโมงที่เบอร์ลินปี 2022 คือหนึ่งในตัวอย่างของ Mastery of Skill
เป้าหมายของเค้ายิ่งใหญ่กว่าคนทั่วไป เค้าไม่ได้ซ้อมวิ่งเพื่อสุขภาพ ยั๊งงง 555+
แต่เป็นการวิ่งเพื่อท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์ และบันทึกชื่อของเค้าในหน้าประวัติศาสตร์ ที่ความเร็วในการวิ่งมาราธอนเฉลี่ย 2:52 นาทีต่อหนึ่งกิโลเมตร
โลกเรามีคนแบบ Kipchoge แค่ไม่กี่คน ในวงการกีฬาเรา(อาจจะได้)เห็นตัวอย่างแบบนี้ทุกๆสี่ปี ในการแข่งขันโอลิมปิกที่เป้าหมายคือการเป็นเบอร์หนึ่งของโลก
ประเด็นคือ เคยมีคนหนึ่งได้ไป 23 เหรียญทองใน Olympic เดี๋ยวแอดเล่าให้ฟัง
The 10000-Hour Rule
หนังสือ Outliers (2008) ของ Malcolm Gladwell นำเสนอไอเดียเรื่องกฏ 10,000 ชั่วโมง ที่บอกว่าคนๆหนึ่งต้องฝึกฝนตัวเองเป็นหมื่นชั่วโมง
กว่าจะสำเร็จวิชา กลายเป็น true expertise
ของทักษะนั้นๆ
ถ้าเราฝึกวันละ 3 ชั่วโมง ทุกวันในหนึ่งปี เฉลี่ยปีละ 1,000 ชั่วโมง เราต้องฝึกประมาณ 10 ปีเลยถึงจะทำได้อย่างที่ Malcolm เขียนในหนังสือ
สำหรับคนทั่วไป ต้องเหนื่อยและจริงจังขนาดนั้นเลยไหม ยั๊งงง 555+ แอดตอบให้เลยว่า “ไม่” นอกจากเราอยากจะเป็นเหมือน Michael Phelps
Michale Phelps คือนักกีฬาว่ายน้ำชาวอเมริกัน เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 23 เหรียญ อ่านไม่ผิด 23 เหรียญ ลงแข่งครั้งแรกตอนอายุ 15 ปีก็ได้เลย โหดมาก 555+
เราสามารถเรียก Phelps เป็น talent
หรือผู้มีพรสวรรค์ได้หรือเปล่า? หลายคนอาจจะมองว่า Phelps คือ talent แต่เค้าให้สัมภาษณ์นักข่าวตลอดว่า
“ผมคิดว่าผมก็เหมือนคนปกติทั่วไปนะ ผมแค่ฝึกว่ายน้ำในสระวันละ 6 ชั่วโมง 365 วัน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ก็แค่นั้นเอง”
สรุปคือ Phelps กวาดเหรียญทอง 23 เหรียญ เพราะเค้าฝึกว่ายน้ำมาแล้วประมาณ 40,000 ชั่วโมง เกิน The 10,000 Hour Rule ไปสี่เท่า ให้เค้าเถอะ 555+
ทักษะของ Phelps ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เกิดมาจากการฝึกฝนล้วนๆ มี commitment
และ discipline
ในระดับที่คนทั่วไปทำตามไม่ได้ง่ายๆ
สมองเราจะดีแค่ไหน แต่ถ้าเราไม่เคยฝึกใช้มันเลย ทักษะก็คงไม่เกิด
บทความนี้ไม่ได้อยากให้ทุกคนเป็นอย่าง Phelps และ Kipchoge สบายใจได้ 555+
แต่แอดอยากให้ทุกคนเป็น Doable Greatness หรือ Suddenly Talented ปุบปับเก่งเลย ไม่ต้องฝึกหมื่นชั่วโมง แอดอยากให้ทุกคนอัปเดต mental model ในสมองใหม่
ว่าเราสามารถฝึกทักษะอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องใช้เวลาเป็น 10,000 ชั่วโมง แต่แค่ 20-30 ชั่วโมงเท่านั้น เป้าหมายคือสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่ต้องเก่งที่สุดก็ได้
เหมือนที่ Josh Kaufman เขียนเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ First 20 Hours (2014)
ลองถามตัวเองว่าครั้งสุดท้ายที่เราทำ Deliberate Practice ใช้เวลาอย่างน้อย 20 ชั่วโมง ฝึกฝนอะไรสักอย่างหนึ่งอย่างจริงจังคือเมื่อไหร่?
หลายคนอาจจะต้องย้อนกลับไปสมัยเรียน ป.ตรี หลายคนต้องย้อนไปไกลกว่านั้น
แต่อย่างเพิ่งหมดหวัง 555+ บทความนี้มีทางออก
คำถามคือเราจะฝึกยังไง ต้องเรียนแบบไหน ที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้นเร็วที่สุดภายใน 20 ชั่วโมง? Sean เขียนอธิบายไว้ในหนังสือ Suddenly Talented สามคำสั้นๆ ECS
The ECS Framework
ECS ย่อมาจาก Energy > Confidence > Skill สามคำนี้เขียนเรียงต่อกัน ห้ามสลับตำแหน่ง พลังเกิดก่อนความมั่นใจ และความมั่นใจต้องมาก่อนทักษะ
- Energy
- Confidence
- Skill
ถ้าเราเข้าใจ ECS ประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกวิธี คนจะเริ่มมองเราเป็น Doable Greatness ทันที โอ้โห เขียนมาขนาดนี้ ต้องอ่านต่อแล้วไหม 555+
Energy
Energy
คือ metric ที่สำคัญที่สุดในชีวิต ถ้ามีพลังงาน เราก็สามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆได้ ถ้าเมื่อไหร่ energy เป็นศูนย์ นึกภาพตัวเรานอนเป็นผักทันที 555+
ปลายปีก่อนตอนแอดเล่าเรื่อง Entropy
ใน What The Duck หรือค่าที่ใช้วัด Chaos ความยุ่งเหยิงของระบบหนึ่งๆ ยิ่ง entropy สูงขึ้น energy จะลดต่ำลง
- ถ้าร่างกายเราคือระบบ Life & Mind System
- เวลายิ่งเดินไปข้างหน้า ร่างกายเราจะมี entropy สูงขึ้นเรื่อยๆ และ energy ลดต่ำลง แค่เรานั่งเฉยๆ พลังงานในชีวิตก็ลดลงเช่นกัน
- มนุษย์มี mechanics ที่สามารถลด entropy และเพิ่ม energy ได้ ด้วยการทานอาหาร พักผ่อน ออกกำลังกาย หรือการอ่านหนังสือดีๆ
สรุป energy คือปัจจัยพื้นฐานที่ช่วยให้เราทำกิจกรรมอื่นๆได้ รวมถึงการเรียนรู้ด้วย
นักเรียนหลายคนที่ลงเรียน bootcamp กับแอด แล้วทำงานประจำไปด้วย comment ส่วนใหญ่จะบอกว่า กลับบ้านมาไม่มีแรงเรียนต่อแล้ว แอดเข้าใจ เห็นภาพเลย 555+
แต่แอดคิดว่าคนเรามี “เวลา” ให้กับสิ่งที่เราอยากทำเสมอ 😊
ECS framework บอกว่าเราควรใช้ minimum energy เพื่อเรียนรู้เรื่องหนึ่งๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าวิชาการตลาด ต้องการ energy ขั้นต่ำ 5 unit เราก็ควรจะใช้ 5 unit
ถ้างานนั้นๆต้องการ 5 unit แต่เราใช้ไป 20 unit แปลว่าเรากำลังใช้พลังงานสิ้นเปลืองเกินไป ถ้าเราใช้ energy เยอะเกิน สมองจะเริ่มล้า และทำให้เราไม่อยากไปต่อ
เพราะหน้าที่ของสมองคือปกป้องพลังงาน ให้ร่างกายเรามี energy พอใช้ และร่างกายเราไม่พังไปซะก่อน
คำถามคือเวลาเรานั่งเรียนเรื่องอะไรสักอย่าง ใช้ energy เท่าไหร่คือกำลังดี?
Sean บอกว่าถ้าตอนเรียนจบ แล้วเราถามตัวเองว่า What's next?
“What’s next” คือความรู้สึกอยากเรียนต่อ พร้อมลุยต่อวันพรุ่งนี้ เป็นสัญญาณว่าเราใช้ energy กับกิจกรรมนั้นๆได้อย่างเหมาะสม กำลังดี
แอดมานั่งนึกดู Phelps เข้าใจเรื่องนี้ดีเลย ทำไมเค้าไม่ฝึกว่ายน้ำวันละ 12 ชั่วโมง ทำไมเค้าฝึกแค่ 6 ชั่วโมงต่อวันก็พอแล้ว?
เพราะ 6 ชั่วโมงทำให้เค้าฝึกสิ่งนั้นได้ทุกวัน โดยไม่เหนื่อยจนเกินไป อันนี้โคตรล้ำลึก ไม่มีเขียนในหนังสือนะ แอดตกผลึกเพิ่งคิดได้เมื่อกี้ 555+
ทำยังไงก็ได้ ให้เรากลับมาเรียนได้เรื่อยๆ เรียนได้ทุกวัน ไม่เยอะไม่น้อยจนเกินไป คือก้าวแรกสู่การเป็น Suddenly Talented อย่างแท้จริง
Confidence
ตัวถัดมาคือ Confidence
แปลภาษาไทยว่า “ความมั่นใจ”
ตอนอ่านถึงบทนี้ หน้า Harry Maguire กองหลังทีมชาติอังกฤษและ Manchester United ลอยเข้ามาในหัวแอดทันที
Maguire จริงๆเป็นกองหลังธรรมชาติที่เก่งเลย ตัวสูง เล่นลูกกลางอากาศได้ดี ลากกระชากบอลขึ้นไปให้กองหน้าได้ด้วย
ปี 2019/2020 ฤดูกาลแรกกับแมนยู Maguire เล่นดีมาก ลงเตะครบทั้ง 38 นัดในลีก ฤดูกาลสองก็ยังแข็งแกร่งลงเล่นไป 34 นัด จนมาเสียฟอร์ม พังตอนฤดูกาลที่สาม
ถัดมาอีกฤดูกาล ปี 2022/2023 เค้าได้ลงเล่นแค่ 16 นัดเท่านั้น โดนพักเป็นตัวสำรองเพราะฟอร์มไม่ดีมากๆ เล่นแบบไม่มีความมั่นใจ โดนเอารูปไปทำ meme ล้อทั่วโลก
Maguire สู้กับสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ ต้องเลิกเล่น social media และซ้อมหนักขึ้น ขอให้กองหลังระดับตำนานอย่าง Carvalho มาช่วยซ้อม เพื่อเรียกความมั่นใจกลับมา
เวลาเราบอกว่านักกีฬาฟอร์มตก เล่นไม่ดี จริงๆทักษะฟุตบอลหรือ skills ของพวกเค้ายังเหมือนเดิมเลย แต่ที่พวกเค้าเล่นแบบฟอร์มหลุด เพราะเสียความมั่นใจ
ถ้าเรียกความมั่นใจกลับมาได้เมื่อไหร่ ทุกอย่างก็กลับมาปกติได้แบบงงๆ 555+
Maguire กลับมาฟอร์มดีอีกครั้ง คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมไปเมื่อเดือน พ.ย. 2023 ที่ผ่านมา ประเด็นคือทักษะฟุตบอลของเค้าไม่เคยหายไปไหน
แปลว่า loss of form จริงๆไม่ใช่ form ที่หาย แต่เป็น confidence
และนี่คือเหตุผลที่ confidence ต้องมาก่อน skill แค่เรามั่นใจ เราก็จะ perform ทันที ถึงแม้ skill เราอาจจะไม่สูงเท่าคนอื่น
หรือถ้าพูดอีกมุมหนึ่งคือ ถึงตอนนี้เราจะยังไม่เก่งมาก แต่ถ้าเรามีความมั่นใจ ก็สามารถ outperform คนเก่งแต่ไม่มั่นใจได้ ล้ำลึก
แล้วเพื่อนๆคิดว่าจะเป็นยังไง ถ้านักเตะทุกคนในทีมเรามั่นใจหมดเลย? แอดขอพาทุกคนข้ามไปดูลีกเยอรมันกันบ้าง
มีทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ no name ไม่ค่อยมีใครรู้จัก และผู้จัดการทีมเลือกส่งผู้เล่นดาวรุ่งลงสนามเพียบ
ฤดูกาลนี้ 2023/2024 แข่งไป 22 นัด ยังไม่แพ้ใคร ชนะ 18 เสมอ 4 ล่าสุดเพิ่งตบแชมป์เก่าอย่าง Bayern Munich ไป 3-0 จุกๆ บ้าหน่า 555+
และนี่คือ Bayer Leverkusen
ทีมที่ปีก่อนเริ่มจากหนีตกชั้น สู่จ่าฝูงของ Bundesliga ปีนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นคือบารมีและสมองของผู้จัดการทีมอย่าง Xabi Alonso
ตั้งแต่ Xabi เข้ามาคุมทีม นักเตะทุกคนมีกำลังใจและ confidence พุ่งปรี๊ดเลย ลงแข่งด้วย spirit ที่พร้อมชนทุกทีม ไม่สนลูกใคร ยั๊งงง 555+
Xabi ได้แชมป์มาแล้วเกือบทุกรายการทั้ง FIFA World Cup, Euro, EUFA Champions League, LaLiga และ Bundesliga
แถมมีทักษะ coaching และการสื่อสารที่ดี เคยคุมทีมดาวรุ่งในสเปนมาแล้วด้วย ทั้งหมดนี้ช่วยยกระดับของทีม Leverkusen ขึ้นมาได้ภายในหนึ่งปี
ทุกทีมที่ต้องลงสนามเจอกับ Leverkusen ปีนี้ ถ้าไม่มั่นใจว่าจะชนะหรือสู้ได้ตั้งแต่แรก ก็เตรียมเก็บของกลับบ้านได้เลย แพ้แน่นอน 555+
ถึงจะใช้ผู้เล่น no name ชื่อเสียงสู้ทีมใหญ่ไม่ได้ แต่ถ้าทีมเรามั่นใจมากกว่า เล่นด้วยความมั่นใจ ก็มีโอกาสชนะได้เหมือนกัน
นี่คือเหตุผลที่ confidence ต้องมาก่อน skill ใน ECS
ของ Sean
ส่วนตัวแอดคิดว่านิยาม Confidence ของ Sean คือเรื่องเดียวกันกับ Mindset
ในหนังสือ Limitless (2023) ของ Jim Kwik ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสมองระดับโลก
Mindset คือชุดความคิด ความเชื่อ และสมมติฐาน ที่เราใช้สร้างตัวเราและโลกขึ้นมา เป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราทำได้ ทำไม่ได้ และอะไรที่เป็นไปได้ what’s possible
ถ้าเราคิดว่าทำได้ เราก็ทำได้ ถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้ เราก็ทำไม่ได้ ทั้งสองความคิดเป็นจริงทั้งคู่ อยู่ที่เราเลือกมี mindset แบบไหน เฉียบ
ส่วนวิธีการพัฒนา confidence ที่ Sean อธิบายใน Suddenly Talented คือการสร้าง Safe Zone
ให้เรากล้าที่จะลองผิดลองถูก ถ้าเราไม่กลัวที่จะพลาด เราก็จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆได้เร็วขึ้น และสร้างเป็นทักษะติดตัวเรา
รวมถึงการลด self-doubt และ assumptions ผิดๆว่าเราไม่เก่ง เราเรียนรู้ไม่ได้ จบไม่ตรงสาย again mindset ถ้าเราคิดว่าเราทำได้ เราก็ทำได้
อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนรู้แล้วว่า energy ทำให้เรามีพลังเรียนต่อทุกวัน confidence ทำให้เรามั่นใจ เชื่อว่าทำได้ กล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ ถัดไปมาทำความเข้าใจ “S” กันต่อ
Skill
ตัวสุดท้ายของ ECS คือคำว่า Skill
มีพลังงาน มีความมั่นใจ ทักษะจะเกิดขึ้นทันที Suddenly Talented
ลองจินตนาการ ว่าเรามี energy ที่จะนั่งเรียนได้ทุกวัน มี confidence เชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ พร้อมที่จะ expand our mind เพื่อเก่งขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเราฝึกฝนทักษะบางอย่างจนเราสามารถทำสิ่งนั้นได้เร็วขึ้น ถูกต้องมากขึ้น เราจะใช้ energy ทำงานนั้นน้อยลงทันที เป็นระดับที่ Sean เรียกว่า Competency
หนังสือ Thinking Fast and Slow (2013) ของ Daniel Kahneman อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าระบบ autopilot หรือ system one
Autopilot คือเวลาที่สมองเรียนรู้ทักษะใดทักษะหนึ่งได้นานพอ จนมันสามารถ automate กิจกรรมนั้นได้ โดยไม่ต้อง burn calories เยอะๆเพื่อคิดก่อนทำ
ในมุม neuroscience ทักษะคือการที่สมองสร้าง neural pathways หรือ connections ระหว่าง neurons ให้เราสามารถทำงานนั้นๆได้ง่ายขึ้น
Neural pathways จะถูกสร้างขึ้นเวลาที่เราทำกิจกรรมนั้นซ้ำๆ
และการทำอะไรซ้ำๆต้องการ “เวลา”
Phelps ฝึกว่ายน้ำ 20 ปีจนร่างกายว่ายทุกท่าได้แบบอัตโนมัติ Kipchoge ฝึกวิ่งทุกสัปดาห์ จนร่างกายจดจำท่าการวิ่งและจังหวะการหายใจ ทั้งหมดเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติ
แอดนั่งเรียนพื้นฐานวิชาสถิติมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30 รอบ กว่าจะเข้าใจมันจริงๆ
และแอดขอย้ำอีกรอบว่า ทุกๆ skill ที่เราอยากทำได้ต้องใช้ “เวลา”
Sean เขียนในหนังสือว่า ถ้าเจอคอร์สเรียนที่โฆษณาแบบ Overnight Success เรียนคอร์สเดียวจบ ใช้เวลาไม่นานทำได้เลย อย่าซื้อ โดนหลอกขายแล้ว 555+
Skill Comparison Trap
มีอะไรอีกบ้างที่จริงๆคือทักษะ แต่เราไม่ได้มองมันเป็นทักษะเท่าไหร่?
การแปรงฟัน การฟังพูดภาษาไทยในชีวิตประจำวัน หรือการขับรถไปทำงาน ถ้าขับรถมาแล้วสิบปี neural pathways ชัดเจน หลับตาขับได้เลย ยั๊งงง 555+
เราไม่ได้มองกิจกรรมในชีวิตประจำวันเป็นทักษะเท่าไหร่ แต่ทุกอย่างที่ร่างกายและสมองเราคิดและทำได้ เราสามารถเรียกกิจกรรมพวกนี้ว่า “Skill” ได้ทั้งหมดเลย
Sean เขียนในหนังสือว่า เราไม่เคยเปรียบเทียบเด็กอายุ 5 ขวบ ว่าเค้าใช้ช้อนกินข้าวเก่งจังเลย ทั้งๆที่ “การใช้ช้อน” ก็คือทักษะรูปแบบหนึ่ง
พอโตขึ้นมาหน่อย เราดั๊นนนน ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทั้งเรื่องการเรียน การทำงาน lifestyle และรูปภาพแบบจัดเต็มฟิลเตอร์บน Instagram
การชอบเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นกลายเป็นเรื่องปกติ* ที่ไม่ปกติเท่าไหร่
Comparison trap คือกับดักที่ทำให้เราเสีย confidence (self-doubt) และไม่สามารถพัฒนา skill ใหม่ๆได้
หยุดเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นแล้ว focus ที่ตัวเองเป็นหลัก เป้าหมายคือการเก่งขึ้นทุกวัน มุ่งหน้าสู่ Doable Greatness เทียบตัวเองวันนี้ กับตัวเราเองเมื่อวานก็พอแล้ว
Sean เขียนอธิบายคำว่า Skill
ได้โคตรล้ำลึก แอดสรุปได้เป็น 3 ข้อหลักๆ
- Skill คือการที่เราทำงานหนึ่งๆได้โดยไม่ต้องใช้สมองคิดเยอะ
- Skill คือการทำงานเสร็จได้เร็วขึ้น และมีความแม่นยำ ถูกต้อง หรือพูดอีกแบบ ทักษะคือความสามารถในการ errors ให้น้อยลงเรื่อยๆ
- Skill คือการที่เราสามารถทำอะไรสักอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ (แบบชั่วคราว)
มาลองดูตัวอย่าง Prompt Engineering
ถ้าวันนี้ (ต้นปี 2024) มีคนใช้ Gemini เขียน prompt เป็นนิดหน่อย คนนั้นจะกลายเป็น Suddenly Talented ทันที อยู่ดีๆคนทั่วไปจะมองว่าคนนั้นเก่ง
ทั้งๆที่เค้าเพิ่งเริ่มใช้ Gemini เองด้วยซ้ำ เรามองเห็นแค่เสี้ยวหนึ่งของทักษะ slices of skill แล้วด่วนสรุปว่าคนนั้นคือ talent
แต่ถ้าปีหน้า (2025) ทุกคนใช้ Gemini หรือ ChatGPT เขียน prompt เป็นกันหมด เราจะเลิกมองสิ่งนี้เป็น skill เลย เพราะทุกคนทำได้เหมือนกันแล้ว ยั๊งงง 555+
ทบทวนไอเดียของ Sean อีกครั้งว่า talent คือ perception และ skill คือสิ่งที่คนอื่นมองว่าเราทำได้ แต่พวกเค้าทำไม่ได้ (at least short-term or temporarily)
เปลี่ยนตัวอย่างนี้เป็นทักษะอื่นๆ เช่น PowerPoint, Canva, Spreadsheets, Coding ก็อธิบายได้เหมือนเดิม “Skill” คือการที่เราถูกเปรียบเทียบกับ baseline สักอย่าง
และ baseline มักจะเป็น perception ของคนส่วนใหญ่ที่อยู่แถวๆค่าเฉลี่ย
Sean แนะนำว่าทุกทักษะที่เราต้องการฝึก อย่างน้อยต้องไปให้ถึง competency level ไม่งั้นฝึกก็เหมือนไม่ฝึก เสียเวลาไปฟรีๆ
Competency
ต้องการอย่างน้อย 20-30 ชั่วโมง เหมือนที่ Josh เขียนอธิบายในหนังสือ The First 20 Hours
สิ่งที่เราควรฝึกให้ถึงระดับ competence แบ่งเป็น 3 เรื่องคือ
- ฝึก programs หรือ software ที่เราใช้ทำงานทุกวัน เช่น Google Slides, Google Sheets หรือ Note Taking Apps
- ฝึก skills ที่สำคัญกับชีวิต (Sean ใช้คำว่า “Critical Skills”)
- ฝึก skills ที่สำคัญกับธุรกิจของเรา หรือที่เราอยากทำในอนาคต
ทำได้ครบทั้งสามอย่างนี้ที่ระดับ competency เราก็ขยับเข้าใกล้ Doable Greatness หรือ Generalist อีกหนึ่งขั้น
Reduction of Errors
แล้วความเก่ง หรือ skill มันต้องวัดยังไง?
เราวัดกันที่จำนวน errors ที่เกิดขึ้น และความสามารถในการจัดการ errors เหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเราเก่งขึ้นเท่าไหร่ errors ในงานนั้นก็จะลดลงเรื่อยๆ
Sean บอกว่าเหตุผลสำคัญที่เราไม่เก่งขึ้นสักที เพราะเราทำผิดพลาดน้อยไปหน่อย ยิ่งเราพลาดเยอะ แล้วเรารู้วิธีแก้ เราจะเรียนรู้และเก่งไวเลย Suddenly Talented
นักบินไม่ได้เรียนแค่กดปุ่มไหน ถึงจะเอาเครื่องบินขึ้นลงได้
แต่พวกเค้าเรียนว่าเวลาเจอปัญหา อากาศแปรปรวน เครื่องยนต์ดับ น้ำมันหมด ในสถานการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน และต้องตัดสินใจภายในเสี้ยววินาที
พวกเค้าจะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร?
Flight Simulator จะสร้างปัญหาและความท้าทายให้นักบินฝึกหัดได้แก้ไขเป็นระยะๆ และปัญหาจะยากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้นักบินเก่งขึ้น พร้อมเจอทุกสถานการณ์
อยากเก่ง ต้องพร้อมเจอปัญหา และหาทางแก้
Stoic เรามีคำพูดว่า “The obstacle is the way” เห็นปัญหา ต้องพุ่งชน ยั๊งงง 555+
สรุปในหัวข้อ Skill
ยิ่งเราเก่งขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งใช้พลังงานน้อยลงเท่านั้น สมองมนุษย์เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆไปให้ถึงระดับ competency level
พอเราพัฒนาไปถึงระดับ competency เราจะใช้ energy น้อยลงเรื่อยๆกับกิจกรรมนั้นๆ ทำงานเสร็จเร็วขึ้น ถูกต้องมากขึ้น work less, earn more, enjoy life
แต่ทักษะจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเราไม่มีเวลาฝึกฝน ทำสิ่งนั้นซ้ำๆ
เดี๋ยวแอดมีเขียนอธิบายเรื่อง “เวลา” ด้วย อยากเข้าใจต้องอ่านต่อ เฉียบ 555+
Energy Over Passion
แอดขอแวะมาพูดเรื่อง passion นิดหนึ่ง
หนังสืออีกเล่มที่แอดชอบมากคือ How to Fail at Almost Everything and Still Win Big ของ Scott Adams (2013) เล่าไอเดียของการเป็น Generalist เต็มๆ
Scott บอกว่า passion เป็นเรื่องไร้สาระมากเลย อันนี้แอดโคตรเห็นด้วย 555+
Scott เล่าว่าตอนทำงานธนาคาร เจ้านายเค้าสอนว่า ถ้ามีลูกค้าสองคนมาขอกู้เงินไปทำธุรกิจ คนแรกมาด้วย passion คนที่สองมาด้วย energy
ให้อนุมัติปล่อยกู้คนที่สอง ส่วนคนแรกข้ามไปเลย ไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวๆ 555+
เพราะ Energy
คือ metric ที่สำคัญที่สุดในชีวิต แค่รักษาพลังงานไว้ทำงาน ทำสิ่งที่ดี ได้ต่อเนื่องทุกวัน ชีวิตเราก็มีโอกาสไปได้ไกลกว่าคนทั่วไปแล้ว
ส่วนตัวแอดคิดว่าถ้าเรามี passion และ energy แบบเต็มหลอดทั้งคู่ 🔋
ใครก็หยุดเราไม่อยู่ นิยาม passion ของแอดคือคำว่า Why
ความพยายามของเรามีความหมายว่าอะไร จะดีมากถ้า why ของเราใหญ่กว่าตัวเราเอง
✌️ “Why” ของ DataRockie คือการสร้างแหล่งความรู้ทางเลือกที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพราะการศึกษาที่ดีไม่ควรต้องมีราคาแพง
Recap สั้นๆวิธีการเพิ่มพลังงานให้ชีวิตคือ กินอาหารดีๆ นอนให้เพียงพอ ออกกำลังกายบ้าง และ expand our mind เพื่อรับความรู้และไอเดียดีๆสม่ำเสมอ
แถมเรื่องระบบที่ Scott ใช้ในการพัฒนาตัวเองคือ “Every skill you acquire doubles your odds of success” ยิ่งรู้และทำได้หลายอย่าง ความสำเร็จจะวิ่งมาหาเราเอง
เรียนแค่ 15 นาทีต่อวันก็เปลี่ยนชีวิตได้ แต่ถ้า 6 ชั่วโมงต่อวัน อยากเป็น Michael Phelps หรอ ใจเย็นๆ 555+ (แต่ถ้าใครจะเรียน 6 ชั่วโมง แอดก็ไม่ว่านะ 555+)
Choose Progression
วันก่อนแอดนั่งดูวีดีโอของ Ali Abdaal ผู้เขียนหนังสือ Feel Good Productivity (2023) ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 5.2 ล้านคนบน YouTube
เค้าบอกว่าเวลาที่เรามีในแต่ละวัน ควรถูกแบ่งไว้ทำสองอย่าง
- Maintenance
- Progression
Maintenannce คือเวลาที่เราใช้ทำกิจกรรม daily routine เป็นประจำทุกวัน เช่น นอน อาบน้ำ เดินทาง กินข้าว ทำงาน เข้าสังคม ดูหนังบน netflix
Progression คือเวลาที่ใช้เพื่อทำให้ตัวเองเก่งขึ้น เช่น การอ่านหนังสือ เรียนคอร์สออนไลน์ ควรแบ่งเวลาทำส่วนนี้วันละ 30-60 นาที (หรือเท่าที่เราไหว)
Jim Kwik เขียนในหนังสือ Limitless 2nd Edition (2023) ว่าการแบ่งเวลาอ่านหนังสือวันละ 15 นาทีก็เปลี่ยนชีวิตได้แล้ว
หรือถ้าใครไม่มีเวลาจริงๆ เริ่มอ่านวันละ 5 หน้าก็ยังดี
สิ่งเล็กๆที่เราทำในแต่ละวัน สามารถพาเราไปอยู่ที่จุดที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต แค่ลงมือทำ สร้างมันให้เป็นนิสัย James Clear ก็พูดแบบเดียวกันใน Atomic Habits (2018)
คำถามที่อยากให้ทุกคนลองถามตัวเองคือ ตอนนี้เราใช้เวลาเป็น maintenance ต่อ progression อยู่ที่สัดส่วนเท่าไหร่
แล้วเราจะเก่งขึ้นไหมถ้าเราไม่เปลี่ยนการใช้เวลาของเรา?
The Real Enemy
ถ้าอยากมีเวลาเรียนและพัฒนาตัวเองมากขึ้น เข้าสู่ Progression Mode ต้องรู้ก่อนว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร อะไรที่ผลาญเวลาของเราโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
หนังสือ Make Time
(2018) วิเคราะห์ปัญหาที่มนุษย์เจออยู่ตอนนี้คือ The Infinite Pools แค่เราปัดนิ้วบนลงล่าง social media ก็มี contents ให้เราบริโภคไม่มีวันหมด
ขอบคุณมาก social media นี่แอดเขียนประชดนะ ยั๊งงง 555+
Business model ของบริษัทอย่าง Facebook, TikTok, IG, Twitter คือการทำยังไงก็ได้ให้เราใช้เวลาบน platforms ได้นานที่สุด เพื่อที่เค้าจะสร้างรายได้จากโฆษณา
มีไม่กี่อุตสาหกรรมในโลกนี้ที่เรียกผู้ใช้งานว่า Users หนึ่งในนั้นคือ Tech (เช่น social media, mobile app) และ Drug ทั้งวัคซีน ยารักษาโรค และสารเสพติด
ถ้าคิดดีๆ social media ไม่ต่างอะไรกับ drug ภาษาอังกฤษเลยใช้คำว่า Addiction
เวลาเราเปิด TikTok เพื่อดู contents งานวิจัยหลายตัวบอกว่าเรากำลังโดนล้างสมอง brain washed แบบไม่รู้ตัวด้วย AI algorithms
แอดเช็ค screen time บนโทรศัพท์ ตั้งแต่ต้นปีนี้แอดใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 4 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นการตอบแชท เช็คอีเมล และเล่น social
ถ้าเอา 4 ชั่วโมง x 365 วัน จะได้ 1460 ชั่วโมง หรือคิดเป็น 1460 / 24 = 60 วันพอดี
แค่เราจ้องหน้าจอโทรศัพท์ “เวลา” ก็หมดไปสองเดือนเต็มๆแล้ว
ยุคสมัยของ Attention Economy ศัตรูที่แท้จริงของพวกเราคือ Distraction
หรือปัญหาอาจจะเป็น distraction มาตั้งนานแล้ว แต่ยุคนี้มันทวีความรุนแรงกว่าที่ผ่านมาๆ บางอย่างก็ไม่เคยเปลี่ยน และเป็นอย่างนี้มาตลอด
Distraction คือทุกสิ่งที่ดึงเราออกจากเส้นทางที่เราควรเดิน ให้ห่างไกลออกจากเป้าหมายที่สำคัญในชีวิต The Glorious Purpose จังหวะนี้ Loki ต้องเข้าแล้ว 555+
ถ้าเราไม่ควบคุมชีวิตตัวเอง ไม่มี self-conscious หรือ self-awareness
บางอย่างหรือใครบางคนจะเข้ามาควบคุมชีวิตและจิตวิญญาณของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว
ถ้าอยากมีเวลาเรียนหรือทำสิ่งที่มีความหมาย เราต้องปกป้อง “เวลา” ของเรา
🫨 แอดนั่งดูค่าเฉลี่ย mobile screen time ของคนไทย อ้างอิงจาก Exploding Topics ปี 2020 อยู่ที่ 6 ชั่วโมง 48 นาทีแล้ว
Time Management for Mortals
เวลาคือ Non-Renewable Resource หรือทรัพยากรที่เราสร้างใหม่ไม่ได้
หลายคนบอกว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง พวกเราขายเวลาทำงานเพื่อแลกเงินเดือน แต่จริงๆมูลค่าของเวลามากกว่าเงินเดือนที่เราได้เยอะเลย
ในหนังสือ Four Thousand Weeks (2021) ของ Oliver Burkeman บอกว่า เวลาไม่ต่างอะไรกับชีวิต time is life, and life is time ประโยคนี้จริงแท้ล้านเปอร์เซ็นต์
Fact – เวลาไม่เหมือนเงินในกระเป๋าสตางค์ เราจัดการเวลาไม่ได้ หาเวลาเพิ่มก็ไม่ได้ แต่เราเลือกสิ่งที่จะทำภายในเวลานั้นๆได้
Sean เขียนกฏ 10 ข้อในหนังสือ Pronto Learning (2009) เกี่ยวกับการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อ 5 พูดถึงการ “Minimizing Dead-Time”
Dead-Time
คือช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ (เวลาที่ตายไป)
ถ้าเรารู้วิธีลดหรือเปลี่ยน Dead-Time เป็น Learning-Time เราจะสามารถเรียนรู้ได้มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า
ตัวอย่างของ dead-time เช่น เวลาที่เราใช้ตอนเดินทางจากบ้านไปที่ทำงาน ตอนเราล้างจาน หรือทำความสะอาดบ้าน จะมีแค่ 15-30 นาที เราก็เปลี่ยนมันเป็นเวลาสำหรับการเรียนรู้ได้ หยิบหูฟังมาใส่ ฟัง podcast หรือหนังสือเสียง
จัดการ dead-time แค่ 15 นาทีต่อวัน เราจะเรียนได้มากกว่า 90 ชั่วโมงภายในหนึ่งปี
ลองหยุดถามตัวเองว่าครั้งสุดท้ายที่เราใช้เวลาเรียนอะไรสักอย่างหนึ่งเกิน 90 ชั่วโมงคือเมื่อไหร่? เริ่มเลยวันนี้ เปลี่ยนเวลา social media เป็น reading time แค่ 15 นาที
จงปกป้องเวลา เปลี่ยน dead-time เป็น learning-time
The Most Important Skill
งาน Duck Con แอดเล่าปิดท้าย Suddenly Talented กับหัวข้อ “ทักษะที่สำคัญที่สุด”
และแอดจะขอยืนยันรอบที่ 628 ว่าทักษะที่สำคัญที่สุดของยุคนี้คือ Writing Skill
ยิ่งเราเขียนเก่งเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสในชีวิตมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่แค่โอกาสในชีวิตเราเท่านั้น แต่รวมถึงโอกาสในชีวิตของผู้ที่ได้อ่านงานเขียนของเราด้วย เหมือนที่ทุกคนกำลังอ่านบทความนี้อยู่ แอดเขียนดีเนอะ เย้ 555+
Side-Note บทความนี้แอดใช้เวลาเขียนประมาณ 10 ชั่วโมงเลย ⏲️
ถ้าลองสังเกต นักธุรกิจหรือ creators ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีทักษะการสื่อสาร โดยเฉพาะทักษะการเขียนที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยมากๆ Doable Greatness ของแทร่
The Cultural Tutor เขียน tweets จนมีผู้ติดตามบน X มากกว่า 1.6 ล้านคน จากเด็กทำงานในร้าน McDonald’s สู่การเป็นนักเขียนโดยไม่ต้องโชว์หน้าตัวเองเลย
ใครที่ติดตามสาย One-Person Business หรือ Small Business จะเห็น pattern นี้ได้ชัดเจน Ali Abdaal, Russell Brunson และ Dan Koe ที่ตอนนี้กำลังมาแรง
Dan Koe บอก “ผมนั่งอ่าน tweets ของ creators หลายๆคนที่ผมชอบ แล้วก็คิดว่า content สไตล์นี้ เราก็น่าจะเขียนได้เหมือนกันนะ แล้วก็เริ่มฝึกเขียนเลย”
Quote ที่แอดชอบที่สุดของ อ. Dan คืออันนี้
รายได้จากงาน creator ของ Dan Koe ปีที่แล้วทะลุ 40 ล้านบาทไปเรียบร้อย แค่เปิดตัวหนังสือ The Art of Focus (2023) ก็ได้เงินประมาณ 20 ล้าน โหดมาก
นักเขียนและโค้ชอีกคนที่แอดชอบมากคือ Donald Miller แกตื่นมาเขียนทุกเช้าเลย รายได้ของบริษัทแกเติบโตจาก 1M เป็น 2M, 4M และ 8M USD ภายในสี่ปี
สิ่งที่ Don ทำคือการเขียนหนังสือใหม่ทุกปี เค้า validate มาแล้วว่าการเขียนหนังสือคือ Growth Lever
ที่ดีที่สุด ในการสร้างธุรกิจของ Business Made Simple
ปีก่อนแอดไปลงเรียน Storytelling Guide Certification กับแกมาด้วย สนุกมาก แต่อย่าถามค่าคอร์สว่าเท่าไหร่ แพงมาก 555+
หรือแม้แต่รายใหญ่ๆอย่าง Steven Barlett เจ้าของหนังสือ The Diary Of A CEO ที่เพิ่งเขียนหนังสือออกมาปลายปีก่อนเช่นกัน ขายดีเป็นตับ 555+
มานั่งตกผลึกดู สิ่งที่แอดทำมาตลอด 7 ปี อาจจะวินัยหลุดไปบ้างบางช่วง แต่ยังทำต่อเนื่องมาได้ตลอดคือการเขียนบทความ แชร์ความรู้ให้กับเพื่อนๆทุกคนได้อ่าน
ข้อดีของการฝึกเขียนคือ
- Clear Thinking – วิธีคิดเราเฉียบขึ้น
- Focus – เป็นการฝึกวินัยและโฟกัสไปในตัว
- Impact – งานของเราช่วยสร้าง impact ให้กับสังคมได้คือ motivation ในการเขียนที่ยิ่งใหญ่สำหรับแอด
ชีวิตก่อนเขียน กับหลังเขียน สำหรับแอดคือเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ ปีนี้พวกเรามาเรียน มาฝึกเขียนด้วยกันนะครับ
How to Be Better
สรุปเนื้อหา Suddenly Talented กันอีกรอบ
- Talent ไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เกิดมาจากการฝึกฝน และความต่อเนื่อง
- Talent คือ perception ที่คนอื่นมองมาที่เรา เปรียบเทียบกับคนอื่นๆในสภาพแวดล้อมเดียวกัน (environment & mind scope)
- เราไม่จำเป็นต้องไปให้สุดเหมือน Kipchoge หรือ Phelps ก็สามารถประสบความสำเร็จ และมีความสุขในชีวิตได้
- Doable Greatness คือ moment ที่คนเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นมืออาชีพ
- Energy + Confidence + Skill เข้าใจสามเรื่องนี้ ก็เก่งขึ้นทันที Suddenly Talented
- ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดคือ Distraction โดยเฉพาะ social media
- ปกป้องเวลาของเรา ลดเวลา Dead-Time เปลี่ยนมันเป็น Learning-Time
- ทักษะการเขียนคือหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดของยุคนี้
- ยิ่งเราเขียนเก่งเท่าไหร่ โอกาสในชีวิตเรายิ่งมากขึ้นเท่านั้น
และเหตุผลที่พวกเราทุกคนต้องพัฒนาตัวเองเป็น Doable Greatness เพื่อที่เราจะได้ทำงานน้อยลง สร้างรายได้มากขึ้น และมีความสุขกับชีวิต Dan Koe’s Motto
✅ เขียนมาตั้งยาว แอดคิดว่า Doable Greatness กับ Generalist คือเรื่องเดียวกันเลย 555+ เก่งขึ้นทุกเรื่อง แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด skill stacking ต้องมาแล้วทุกคน
See You at What The Duck 2024
กราบขอบพระคุณพี่ๆ เพื่อนๆ speakers ทุกคนที่มาพูดในงานเรานะครับ ✌️
- พี่เฟิร์น True Digital Academy
- พี่ยอด Arise
- พี่ปูน Conicle
- พี่แอม Amable
- น้องคะน้า ฝรั่งอั่งม้อ
- น้องมิว CJ & Mil’s Blog
- น้องฝน ex-Agoda ตอนนี้เรียน ป.เอกด้าน ML/ AI อยู่จุฬา
- และยศ 555+ ขาประจำ CJ & Malonglearn
ขอบคุณทางสถานที่ Big Coworking Space พระราม 9 ที่ดูแลพวกเราอย่างดี พี่ชุและทีม Keychron ที่แวะมาให้กำลังใจ คุณปูเป้ที่มาแจกหนังสือ meb ebook และนักเรียน bootcamp คุณธนพัฒน์สำหรับน้ำดื่ม stream
และสุดท้าย แอดอยากขอบคุณแฟนเพจ นักเรียนทุกคนที่สละเวลามางาน 300+ คน พวกเราคือ Community ด้านการเรียนรู้ที่น่าจะใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้วตอนนี้
สัญญาว่ารอบหน้าจะดีกว่าที่ผ่านๆมา เหมือนรอบนี้ขาดอะไรสักอย่าง ขาดพิซซ่ากับเบียร์นี่เอง ยั๊งงง 555+ 🤣 เจอกันใน What The Duck ปลายปีครับ
PS. ถ้าใครชอบบทความนี้ comment เป็นกำลังใจให้แอดได้ในโพสต์เลยนะครับ แอดอ่านเองทุกคอมเม้นต์ ชอบอ่านแนวนี้ไหม กด reply
พิมพ์บอกแอดด้วยน๊า
Reference – รูปการ์ตูนทั้งหมดในบทความนี้ วาดโดยคุณ Sean D’Souza แวะไปดูหนังสือใหม่ๆและคอร์ส home study ของ Sean ได้ที่ Psychotactics
Leave a Reply